SCB EIC คาด GDP H2/68 โตไม่ถึง 1% สัญญาณศก.แผ่วลง-ส่งออกหดตัวจากภาษีสหรัฐฉุด

28 พฤษภาคม 2568
SCB EIC คาด GDP H2/68 โตไม่ถึง 1% สัญญาณศก.แผ่วลง-ส่งออกหดตัวจากภาษีสหรัฐฉุด

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ขยายตัว 3.1% ใกล้เคียงคาดการณ์ของ SCB EIC ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนก่อนสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ รวมถึงวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และปัจจัยหนุนจากการเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังได้รับผลบวกจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวในเดือนมกราคมที่ยังอยู่ในช่วงไฮซีซัน ก่อนเริ่มชะลอตัวลงจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาส ขณะที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังขยายตัวต่ำ ส่วนหนึ่งจากการระบายสินค้าคงคลังต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สัญญาณเศรษฐกิจไทยช่วงข้างหน้าจะแผ่วลง GDP ครึ่งปีหลังอาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% การใช้จ่ายภาครัฐจะยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น โดยเฉพาะการปรับแผนใช้จ่ายงบกลางค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทที่ยังเหลือ อย่างไรก็ดี เครื่องชี้ด้านการผลิตยังสะท้อนความเปราะบาง อาทิ จำนวนธุรกิจเปิดกิจการในช่วง 4 เดือนแรกของปีหดตัว 4.4%YOY ขณะที่จำนวนธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้น 8.3%YOY ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับลดลง เครื่องชี้กิจกรรมภาคธุรกิจมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดบ้านและรถยนต์ ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวตามการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีน บางธุรกิจจะเผชิญผลกระทบจาก China ininflux รุนแรงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ชี้ว่า การลงทุนภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปีจะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง

สำหรับการส่งออกสินค้าจะกลับมาหดตัวหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้คู่ค้าตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. นอกจากนี้เครื่องชี้ภาวะการเงินที่ยังตึงตัว โดยเฉพาะรายย่อยที่เข้าถึงสินเชื่อได้ยากจะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคภาคเอกชนให้ใช้จ่ายระมัดระวังขึ้น ในภาวะกำลังซื้ออ่อนแอและหนี้ครัวเรือนสูง

SCB EIC ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับความตึงตัวของภาวะการเงินที่ยังมีอยู่มาก สะท้อนจากสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ที่หดตัวต่อเนื่องและ NPLs ที่สูงขึ้น

เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาคจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าและเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นทำให้ดัชนีค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าลงบ้าง แต่ปัญหาค่าเงินบาทแข็งและมีความผันผวนสูงยังมีอยู่มาก ในระยะสั้นเงินบาทมีโอกาสกลับมาอ่อนค่าในกรอบ 32.50-33.50 บาท/ดอลลาร์ และมีแนวโน้มแข็งค่าต่อตามวัฏจักรเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าและการไหลออกของเงินทุนจากสหรัฐฯ ทั้งนี้เงินบาทอาจไม่แข็งค่าเร็วนัก เพราะสัดส่วนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของไทยยังต่ำ กระแส Repatriation flows ของเงินลงทุนฯ กลับมาไทยน่าจะมีน้อย ในช่วงสิ้นปีคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 31.50-32.50 บาท/ดอลลาร์


แหล่งที่มา : อินโฟเควสท์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.